ปริศนาจากชาวมายา กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา
กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า
ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย
บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต
ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง!
ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อม
ต่อระหว่างคนอดีตสู่ คนยุคปัจจุบัน(ไปดูอินเดียน่าก็ได้มีเหมือนกัน)
กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า
ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย
บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต
ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง!
ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อม
ต่อระหว่างคนอดีตสู่ คนยุคปัจจุบัน(ไปดูอินเดียน่าก็ได้มีเหมือนกัน)
ตำนานว่าด้วยปริศนาแห่งกะโหลกแก้วเป็น
เรื่องที่เล่าลือกันมานานแล้ว และเมื่อพิพิธภัณฑ์ มนุษยชาติ
แห่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษได้มาหัวหนึ่งใน พ.ศ. 2441 หรือเมื่อ 110
ปีก่อน ก็ยิ่งทำให้คำเล่าลือโด่งดังขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใครได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของกะโหลกแก้ว
ก็มักอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่าง
พลังที่พนักงานของพิพิธภัณฑ์ไม่ยอมเข้าไปในห้องที่จัดแสดงกะโหลกนี้ในยามค่ำ
คืน หากไม่เอาผ้าดำปิดดวงตากลวงคู่นั้นไว้เสียก่อน
ไม่มีใครรู้แน่ว่ากะโหลกแก้วปริศนาขนาดเท่าๆ กับกะโหลกคนจริงๆ นี้มาจากไหน พิพิธภัณฑ์ซื้อมันมาจากร้านขายเครื่องเพชรทิฟฟานี่แห่งนิวยอร์ก ซึ่งไม่ได้ระบุถึงที่มาอันชัดเจน แต่เป็นที่เข้าใจว่ากะโหลกแก้วนี้น่าจะเป็นโบราณวัตถุจากอารยธรรมแอซเท็ค ซึ่งนายทหารบางคนได้มันมาเมื่อครั้งไปร่วมรบที่เม็กซิโก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19
ในขณะที่ปริศนาของกะโหลกแก้วแห่ง พิพิธภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ก็มีการค้นพบกะโหลกแก้วอีกหัวหนึ่งใน พ.ศ. 2467 เมื่อแอนนา มิทเชลล์-เฮดจ์ส บุตรีบุญธรรมของเฟ็ดเดอริค อัล-เบิร์ท มิทเชลล์-เฮดจ์ส นักผจญภัยและนักสำรวจชื่อดังได้พบมันเข้าโดยบังเอิญ
ไม่มีใครรู้แน่ว่ากะโหลกแก้วปริศนาขนาดเท่าๆ กับกะโหลกคนจริงๆ นี้มาจากไหน พิพิธภัณฑ์ซื้อมันมาจากร้านขายเครื่องเพชรทิฟฟานี่แห่งนิวยอร์ก ซึ่งไม่ได้ระบุถึงที่มาอันชัดเจน แต่เป็นที่เข้าใจว่ากะโหลกแก้วนี้น่าจะเป็นโบราณวัตถุจากอารยธรรมแอซเท็ค ซึ่งนายทหารบางคนได้มันมาเมื่อครั้งไปร่วมรบที่เม็กซิโก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19
ในขณะที่ปริศนาของกะโหลกแก้วแห่ง พิพิธภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ก็มีการค้นพบกะโหลกแก้วอีกหัวหนึ่งใน พ.ศ. 2467 เมื่อแอนนา มิทเชลล์-เฮดจ์ส บุตรีบุญธรรมของเฟ็ดเดอริค อัล-เบิร์ท มิทเชลล์-เฮดจ์ส นักผจญภัยและนักสำรวจชื่อดังได้พบมันเข้าโดยบังเอิญ
กะโหลกแก้วทั้ง 2 ชิ้น ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกันนี้ นับเป็นกะโหลกแก้วที่ถูกจับตามองที่สุด และถูกนำไปตรวจสอบด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ นานามากที่สุด แต่ก็ยังไม่มีคำตอบอะไรที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่มาหรือวัตถุประสงค์ที่มันถูก สร้างขึ้น และหลังจากที่กะโหลกแก้วทั้งสองกลายเป็นของมีชื่อเสียงขึ้นมา ก็มีการประกาศการค้นพบกะโหลกแก้วในลักษณะคล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมาก
แต่ ด้วยความเชื่อจากตำนานเก่าแก่ที่กล่าวถึงกะโหลกแก้ว 13 หัว ทำให้ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่า ไอ้ที่พบกันมากๆ เป็นของจริงหรือของเก๊ และเท่าที่ปรากฏมาหลายหัวก็เป็นของทำเทียมเลียนแบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ก็มีอีกหลายหัวเหมือนกันที่ได้การยอมรับว่าเป็นของเก่าที่มีพลังบางอย่าง แฝงอยู่
กะโหลกแก้วที่มีชื่อเสียงตามมิ ทเชลล์-เฮดจ์สมาติดๆ คือกะโหลกที่เคยเป็นของลามะทิเบตนามนอร์วู เชน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากสุสานมายันในกัวเตมาลา ท่านลามะใช้กะโหลกนี้เป็นเครื่องมือในการรักษาผู้ป่วยอย่างได้ผล จนกระทั่งก่อนที่ลามะนอร์วู เชน จะมรณภาพก็ได้มอบกะโหลกนี้ไว้ให้แก่โจแอน พาร์คส์ ชาวเท็กซัส ซึ่งฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านมานานหลายปี หลังจากที่ท่านได้ใช้กะโหลกนี้ช่วยรักษาอาการป่วยลูกสาวของเธอมาแล้ว
โจแอนซึ่งได้กะโหลกนี้มาใน พ.ศ. 2523 อ้างว่ากะโหลกแก้วสื่อสารกับเธอ และพร่ำบอกว่าเขาชื่อแม็กซ์ และเขามีความสำคัญต่อมนุษยชาติ และแม็กซ์ก็ประกาศศักดาให้เห็นมาแล้วหลายครั้งด้วยการช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บ ป่วย กะโหลกแก้วที่สำคัญอีกหัวหนึ่งชื่อชานารา ซึ่งเป็นของนิค โนเซอริโน ซึ่งไม่เพียงจะมีกะโหลกแก้วในครอบครองเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ที่ศึกษาอย่างจริงจังจนเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ด้วย นิคได้กะโหลกนี้มาจากการขุดค้นเมือง โบราณที่เม็กซิโก และเมื่อได้มันมา เขาก็เห็นภาพนิมิตว่ากะโหลกตามตำนานมี 13 หัว โดย 12 หัว เป็นบริวารของกะโหลกที่เป็นหัวหน้าใหญ่ มีการตั้งทฤษฎีว่ากะโหลกเหล่านี้ไม่ใช่ของแอซเท็คหรือมายันอย่างที่เคยเข้า ใจ แต่เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากแอตแลนตีส อาณาจักรปริศนาที่ยังหาไม่พบ และกะโหลกเหล่านี้ทำหน้าที่ในการบันทึกภาพต่างๆ ซึ่งหลายคนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของกะโหลกก็อ้างว่าในบางเวลาที่จังหวะและแสงเหมาะๆ ก็เคยเห็นภาพจากกะโหลกแก้วมาแล้ว โดยเฉพาะกะโหลกแก้วของมิทเชลล์-เฮดจ์ส ที่ว่ากันว่ามีคนเห็นภาพยูเอฟโอสะท้อนออกมา
แล้วมีคนลือกันว่าเมื่อ ไหร่ก็ตามที่กะโหลกที่แท้จริงทั้ง 13 หัว ถูกค้นพบและนำมาไว้ด้วยกันก็จะเห็นภาพของอนาคต แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเรายังไม่สามารถพิสูจน์ความเชื่อนี้ เพราะยังมีเพียงไม่กี่หัวที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของแท้ เช่น แม็กซ์และชานารา ซึ่งเคยถูกวิเคราะห์จากนักวิทยาศาสตร์แล้วคิดว่าน่าจะมีอายุราวๆ 5,000 ปี และของมิทเชลล์เฮดจ์สที่เก่าแก่เหมือนกัน ในขณะที่กะโหลกที่เคยโด่งดังมากอีกหัวหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษนั้น เพิ่งจะมีการตรวจสอบซ้ำด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และผลปรากฏออกมาว่าน่าจะเป็นของที่ทำปลอมขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง ทำเอานักโบราณคดีที่ชอบไปนั่งจ้องตากับกะโหลกหัวนี้เซ็งไปตามๆ กัน
แต่ไม่ว่าอันไหนจะปลอม อันไหนจะจริง มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร และทำไม ก็ยังคงเป็นปริศนาที่นักโบราณคดีกุมขมับ เพราะแกะความลับไม่ออกมานานแสนนาน จนภาพยนตร์ดังระดับตำนานอย่าง อินเดียน่า โจนส์ ยอดนักโบราณคดี ที่เคยนำแฟนๆ ทั่วโลกไปผจญภัยค้นหาสมบัติในดินแดนลึกลับมาแล้วถึง 3 ภาค และในภาคล่าสุดนี้พ่อมดแห่งฮอลลีวูด สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็ปิ๊งไอเดีย นำเรื่องของกะโหลกแก้วมาสร้างเป็นตอนใหม่ คือ อินเดียน่า โจนส์ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4 : อาณาจักรกะโหลกแก้ว (Indiana Jones And The Kingdom Of The Crystal Skull) ปลุกกระแสความสนใจในปริศนากะโหลกแก้วให้กลับมาฮือฮากันอีกครั้งหนึ่งในรอบ 110 ปีนี้
ซึ่งนั่นก็คือการย้ำเตือนว่าแม้จะมีการกล่าวขวัญกันมามากมายนานแสนนาน และบ่อยครั้งสักเพียงใด กะโหลกแก้วยังคงมนต์ขลังแห่งความลี้ลับเหนือการพิสูจน์ที่ไม่มีวันเสื่อม คลายอยู่เช่นเดิม
ข้อมูลจาก
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/05/X7850579/X7850579.html
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น