กะโหลกแก้ว (CRYSTAL SKULLS : SOUTHERN MEXICO)
ปริศนาจากชาวมายา กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า.
โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON)
พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ โอเรกอน วอร์เท็กซ์ เป็นสนามพลังงานแม่เหล็ก ตั้งอยู่ใน หุบเขาทองคำ (gold hill) โอเรกอน ประเทศอเมริกา โดยสถานที่ตั้งแห่งนี้ ปรากฎการณ์แปลกๆ ที่น่าสนใจ.
ภาพลายเส้นนาซคา (NAZCA LINES : NAZCA, PERU)
สิ่งหนึ่งที่เรามักทำกันเวลาไปนั่งเล่นริมชายทะเลคือเอาไม้วาดรูปเรื่อย เปื่อยไปบนผืนทราย เมื่อน้ำขึ้นจนท่วมรูปก็จะพัดพาเอาทรายกลับลงทะเลไปกลายเป็นชายหาดอัน เกลี้ยงเกลาอีกครั้ง กลางผืนทะเลทรายใกล้ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในประเทศเปรู .
ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวัน ตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทาง ตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อน.
สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส (THE LOCH NESS MONSTER : INVERNESS, SCOTLAND)
บน โลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาด แห่งทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ ประมาณ 15 – 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว.
วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557
Angel Hair
Bélmez Faces
ปัจจุบัน บ้านหลังนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ยอดนิยมในการถ่ายรูปและหลายสื่อไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ท้อง ถิ่น,ประชาชน, นักท่องเที่ยวที่ต่างเข้ามาแวะเวียนกันเพื่อดูปรากฏการณ์ที่ว่านี้ หลายคนเชื่อว่าใบหน้าเหล่านี้ไม่ใช้ฝีมือของมนุษย์ และเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ Thoughtographic (ความสามารถในการใช้พลังจิตฉายภาพลงบนกระดาษหรือรูปถ่าย) ที่เกิดจากพลังจิตของเจ้าของบ้านโดยไม่รู้ตัว
แต่ นักวิทยาศาสตร์ยังกังขาปรากฏการณ์นี้ อาจเป็นการปรากฏการณ์ลึกลับหลอกๆ ซึ่งพวกเขาสันนิษฐานว่าเกิดจากการล้างปูนซีเมนต์ และมีวิเคราะห์มวล,โมเลกุล ตัวอย่างซีเมนต์ในบ้านหลังนั้นและพบว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง แต่กระนั้นในเวลาต่อมาหลายคนไม่เชื่อ และนักวิทยาศาสตร์บางคนโดนฟ้องอีกต่างหาก ทำให้การไขปริศนาปรากฏการณ์นี้กลายเป็นเรื่องต้องห้าม เนื่องจากมันได้สร้างรายได้และกำไรเป็นกอบเป็นกำในเมืองแห่งนี้
Simulacrum in Eagle Nebula(Simulacrum)
The taos hum
ใน ปี 1977 มีการตรวจสอบโดยตรงจากวิทยาศาสตร์จากสถาบันที่มีชื่อเสียงในประเทศอเมริกา โดยทำการสำรวจและวัดคลื่นความถี่ของเสียงปริศนาในท้องที่และรอบๆ เมือง Taos นิวเม็กซิโก(โดยปกติเสียงนี้พบยากต้องใช้ไมโครเฟนพิเศษช่วย) พบว่าเสียงฮัมเบาๆ นี้มีความถี่ของเสียงประมาณ 30-80 Hz แต่เหลือเชื่อตรงที่ใช่ทุกคนจะได้ยิน มีบางคนที่ได้ยินเสียงนี่เท่านั้น โดยจากสถิตพบคนในเมือง Taos ได้ยินเสียงนี้เพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ก็ส่วนสาเหตุไม่พบว่าเสียงปริศนานี้เกิดจากอะไร บ้างก็สันนิษฐานว่า เป็นหูอื้อ, เสียงลม, คลื่นมหาสมุทร ไม่ก็ยูเอฟโอ ฯลฯ
Disappearing Lake
ในเดือนพฤษภาคม 2007 ทะเลสาบภูเขาน้ำแข็ง เขต “มากายาเนส” ในปาตาโกเนีย ทางใต้ตอนใต้ของเทือกเขาแอนดีส ประเทศชิลี เกิดอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ อย่างน่าพิศวงทั้งๆ ที่ ขนาดทะเลสาปมีถึง 5 เอเคอร์ หรือในราวๆ สนามฟุตบอล 10 สนาม โดยเจ้าหน้าที่อุทยานอธิบายว่าพวกเขาเห็นทะเลสาปยังเป็นปกติอยู่ในช่วงสอง เดือนที่ผ่านมา และจู่ๆ มันก็หายไปพริบตา กลายเป็นแอ่งขรุขระขนาดใหญ่ น้ำเหือดแห้งไปหมด มีเพียงก้อนน้ำแข็งจำนวนมากนอนก้นอยู่ จากเดิมที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ปริศนานี้ทำให้นักธรณีวิทยางงงวยและอยากทราบคำตอบมากว่าเกิดอะไรขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคน ตั้งทฤษฎีหลายทฤษฏีว่าแผ่นดินแยกตัว และกลืนน้ำในทะเลสาบลงไปแต่กระนั้นจากการตรวจสอบไม่มีรายงานว่ามีเหตุการณ์ แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในพื้นที่นี้แต่อย่างใด
Raining Blobs
The Monkey Man of Delhi
ใน เดือนพฤษภาคม ปี 2001 มีรายงานประหลาดที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงอินเดียที่เมืองเดลี จู่ๆ ก็มีลิงที่รูปร่างประหลาดจู่โจมคนในกลางดึก ลิงรูปร่างประหลาดนี้มีลักษณะ รูปลักษณะที่แตกต่างกันออกไป แทบไม่เหมือนกันเลยสักคน บ้างมาเป็นฝูงมีทั้งของแท้ของเทียม บางคนเห็นมันแต่งชุดขาวๆ พันผ้าพันแผลเหมือนมัมมี่ อีกคนบอกว่ามันแต่งชุดดำ คนโน้นบอกว่ามันทาลำตัวด้วยสีน้ำเงิน คนโน้นก็บอกว่ามีขนรุงรังสีน้ำตาล ส่วนศีรษะนั้น บางคนบอกว่าเหมือนลิง บางก็ว่าสวมเกราะอีกที่หนึ่ง คนหนึ่งบอกว่ามันมีดวงไฟสีฟ้ากับสีแดงวูบๆ วาบๆ และดวงตามีสีแดงบ้าง สีเขียวบ้าง แต่ที่ตรงกันทุกรายคือมันมีกรงเล็บเป็นโลหะสีแวววาว บางรายสรุปน่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือหุ่นยนต์บังคับ ส่วนความสูงมันก็ก็มีหลายแบบ มีตั้งแต่ 137 ซ.ม. ไปจนถึง 183 ซ.ม. (สงสัย จะเป็นพ่อลูกมั้ง) ทั้งยังกระโดดสูงได้ เหาะได้ หายตัวได้ด้วย และพวกมันหยุดอาละวาดลงเมื่อมีเหตุฆ่ากันตายและมันก็ไม่กลับมาอีกเลย มีผู้รู้หลายคนออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับลิงดาลีนี้ว่าน่าจะเป็นปรากฏการณ์ ภาพลวงตาหมู่ (MASS DELUSION)บ้างก็ว่าเป็นคนบ้าที่ หาทางออกจากความเก็บกดด้วยการแสดงอำนาจเหนือผู้อื่นส่วนนายแพทย์คนหนึ่งก็ พยายามอธิบายว่าอาจเกิดขึ้นเพราะความตื่นตระหนกตื่นตูมโดยไม่พิจารณาให้ถ่อง แท้ก่อนและอาจเป็นต้นเหตุข่าวลือผิดๆ ถูกๆ นี้ได้เช่นถ้าเราโยนถุงมือลงหน้าต่างแล้วร้องออกมาว่ามือลิงๆ ผลคือชาวบ้านตกใจกันโดยทั่วนอกจากนี้ยังมีอีกกระแสว่ามนุษย์ลิงเป็นเรื่องกุ ขึ้นโดยฝีมือสปายฝ่ายปากีสถานที่ต้องการทำลายความมั่งคงและความน่าเชื่อถือ ของรัฐบาลอินเดียหรือบางข่าวบอกว่าเป็นฝีมือของแก๊งกวนเมืองที่ลองฝีมือของ ตำรวจเดลีหรือไม่ก็เป็นสายลับปากีสถานที่พยายามก่อกวนอินเดีย ฯลฯ จนบัดนี้ก็ไม่ได้คำตอบแต่อย่างใดเลย??
Globster
วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557
บน โลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาด แห่งทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ ประมาณ 15 – 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคนต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง
โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON)
ไม่ว่าจะเป็นภาพหลวงตาที่เกิดขึ้นจากการหักเหของแสง หรือแรงโน้มถ่วง หรือ
ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่ โลกแห่งความจริง ที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้
ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2012/06/oregon-vortex-gold-hill-oregon.html#ixzz36419pRsP
สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (BERMUDA TRIANGLE : ATLANTIC OCEAN)
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวัน ตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทาง ตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณา บริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่
เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าว-ทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุก
ราย ต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่นไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้
เหลี่ยม เบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้
ภาพลายเส้นนาซคา (NAZCA LINES : NAZCA, PERU)
Nazca Lines
posted on 14 Feb 2009 22:49 by cherokee in Postcards, Travellingกลางผืนทะเลทรายใกล้ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในประเทศเปรู จะพบรูปภาพบนผืนทรายที่เหมือนใครเอาไม้ไปขีดเขียนไว้เป็นจำนวนหลายร้อยรูป มันคงไม่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ ถ้าแต่ละรูปไม่ได้มีขนาดใหญ่โตถึง 200 เมตร และรูปทั้งหมดครอบคลุมเนื้อที่กว่า 500 ตารางกิโลเมตร ท้าทายแดด ลม ฝน เป็นเวลากว่าสองพันปี
ภาพลายเส้นง่าย ๆ เหล่านี้มีตั้งแต่รูปคน รูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น ลิง นก แมงมุม ปลาวาฬ กิ้งก่า รูปต้นไม้ จนถึงรูปทรงทางเรขาคณิต เป็นจำนวนหลายร้อยรูป
จากการศึกษาทางโบราณคดี พบว่ารูปเหล่านี้สร้างขึ้นในช่วง 200 ปีก่อนคริสตศักราช จนถึงประมาณปี ค.ศ. 700 ภาพวาดเหล่านี้ใครเป็นผู้วาด วาดด้วยจุดประสงค์อันใด และจากขนาดและความยาวของภาพลายเส้นเหล่านี้ คงมิได้สร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์บนโลกดูเป็นแน่ แต่ค่อนข้างชัดเจนว่าภาพเหล่านี้จงใจสร้างขึ้นเพื่อให้มองจากท้องฟ้า หรือนี่คือสัญญาณแสดงว่ามนุษย์เราเคยติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวมากว่า สองพันปีแล้ว
หรือว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาถวายแด่เทพองค์ใดบนท้องฟ้าสรวงสวรรค์
หรือว่ามนุษย์บนโลกค้นพบวิธีการบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อกว่าสองพันปีมาแล้ว
คำถามเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาท้าทายมนุษยชาติในยุคปัจจุบัน ตราบใดที่ไม่มี หลักฐานการบันทึกทางประวัติศาสตร์ เราอาจไม่มีวันทราบคำตอบที่แท้จริงได้เลย
เทคนิคในการสร้างภาพลายเส้นเหล่านี้เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ทำยาก นั่นคือการสกัดหินสีเข้มกว่าที่อยู่ที่ผิวออกให้เห็นเนื้อหินที่สีอ่อนกว่า ด้านล่างให้ปรากฏออกมา และมีความลึกจากพื้นผิวเพียงแค่ 10-30 เซนติเมตรเท่านั้น จากการศึกษาค้นคว้า ไม่พบร่อยรอยของเทคโนโลยีใด ๆ ในการก่อสร้าง จึงพอจะสรุปได้ว่าทั้งหมดเป็นแรงงานจากฝีมือมนุษย์เท่านั้น
รูปมนุษย์ (หรือเปล่า) หัวกลมตาโต ยกมือขวาขึ้นโบกมือทักทายรูปนี้ ถูกขนานนามว่า “มนุษย์อวกาศ” ทำให้ใครต่อใครเชื่อว่าลายเส้นแห่งนาซคาแห่งนี้เป็นฝีมือของมนุษย์ต่าง ดาวจากนอกโลก บางคนจินตนาการไปไกลถึงว่าเส้นบางเส้นอาจเป็นร่องรอยการขึ้นลงของยานอวกาศ ของมนุษย์ต่างดาว แต่ทฤษฎีนี้ก็ถูกปฏิเสธมาตลอดเช่นกัน
สาเหตุที่ภาพลายเส้นเหล่านี้อยู่คงทนมาสองพันปี เป็นเพราะสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ไร้ฝน ไร้ลม เราคงได้แต่หวังว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปคงไม่กระทบหรือกระทบช้าที่สุด ต่อมรดกโลกที่ซุกซ่อนตัวจากความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ณ ที่แห่งนี้
ข้อมูลจาก
http://cherokee.exteen.com/20090214/nazca-lines
กะโหลกแก้วคริสตัล(CRYSTAL SKULLS : SOUTHERN MEXICO)
กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า
ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย
บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต
ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง!
ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อม
ต่อระหว่างคนอดีตสู่ คนยุคปัจจุบัน(ไปดูอินเดียน่าก็ได้มีเหมือนกัน)
ไม่มีใครรู้แน่ว่ากะโหลกแก้วปริศนาขนาดเท่าๆ กับกะโหลกคนจริงๆ นี้มาจากไหน พิพิธภัณฑ์ซื้อมันมาจากร้านขายเครื่องเพชรทิฟฟานี่แห่งนิวยอร์ก ซึ่งไม่ได้ระบุถึงที่มาอันชัดเจน แต่เป็นที่เข้าใจว่ากะโหลกแก้วนี้น่าจะเป็นโบราณวัตถุจากอารยธรรมแอซเท็ค ซึ่งนายทหารบางคนได้มันมาเมื่อครั้งไปร่วมรบที่เม็กซิโก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19
ในขณะที่ปริศนาของกะโหลกแก้วแห่ง พิพิธภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ก็มีการค้นพบกะโหลกแก้วอีกหัวหนึ่งใน พ.ศ. 2467 เมื่อแอนนา มิทเชลล์-เฮดจ์ส บุตรีบุญธรรมของเฟ็ดเดอริค อัล-เบิร์ท มิทเชลล์-เฮดจ์ส นักผจญภัยและนักสำรวจชื่อดังได้พบมันเข้าโดยบังเอิญ
กะโหลกแก้วทั้ง 2 ชิ้น ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกันนี้ นับเป็นกะโหลกแก้วที่ถูกจับตามองที่สุด และถูกนำไปตรวจสอบด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ นานามากที่สุด แต่ก็ยังไม่มีคำตอบอะไรที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่มาหรือวัตถุประสงค์ที่มันถูก สร้างขึ้น และหลังจากที่กะโหลกแก้วทั้งสองกลายเป็นของมีชื่อเสียงขึ้นมา ก็มีการประกาศการค้นพบกะโหลกแก้วในลักษณะคล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมาก
แต่ ด้วยความเชื่อจากตำนานเก่าแก่ที่กล่าวถึงกะโหลกแก้ว 13 หัว ทำให้ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่า ไอ้ที่พบกันมากๆ เป็นของจริงหรือของเก๊ และเท่าที่ปรากฏมาหลายหัวก็เป็นของทำเทียมเลียนแบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ก็มีอีกหลายหัวเหมือนกันที่ได้การยอมรับว่าเป็นของเก่าที่มีพลังบางอย่าง แฝงอยู่
กะโหลกแก้วที่มีชื่อเสียงตามมิ ทเชลล์-เฮดจ์สมาติดๆ คือกะโหลกที่เคยเป็นของลามะทิเบตนามนอร์วู เชน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากสุสานมายันในกัวเตมาลา ท่านลามะใช้กะโหลกนี้เป็นเครื่องมือในการรักษาผู้ป่วยอย่างได้ผล จนกระทั่งก่อนที่ลามะนอร์วู เชน จะมรณภาพก็ได้มอบกะโหลกนี้ไว้ให้แก่โจแอน พาร์คส์ ชาวเท็กซัส ซึ่งฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านมานานหลายปี หลังจากที่ท่านได้ใช้กะโหลกนี้ช่วยรักษาอาการป่วยลูกสาวของเธอมาแล้ว
โจแอนซึ่งได้กะโหลกนี้มาใน พ.ศ. 2523 อ้างว่ากะโหลกแก้วสื่อสารกับเธอ และพร่ำบอกว่าเขาชื่อแม็กซ์ และเขามีความสำคัญต่อมนุษยชาติ และแม็กซ์ก็ประกาศศักดาให้เห็นมาแล้วหลายครั้งด้วยการช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บ ป่วย กะโหลกแก้วที่สำคัญอีกหัวหนึ่งชื่อชานารา ซึ่งเป็นของนิค โนเซอริโน ซึ่งไม่เพียงจะมีกะโหลกแก้วในครอบครองเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ที่ศึกษาอย่างจริงจังจนเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ด้วย นิคได้กะโหลกนี้มาจากการขุดค้นเมือง โบราณที่เม็กซิโก และเมื่อได้มันมา เขาก็เห็นภาพนิมิตว่ากะโหลกตามตำนานมี 13 หัว โดย 12 หัว เป็นบริวารของกะโหลกที่เป็นหัวหน้าใหญ่ มีการตั้งทฤษฎีว่ากะโหลกเหล่านี้ไม่ใช่ของแอซเท็คหรือมายันอย่างที่เคยเข้า ใจ แต่เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากแอตแลนตีส อาณาจักรปริศนาที่ยังหาไม่พบ และกะโหลกเหล่านี้ทำหน้าที่ในการบันทึกภาพต่างๆ ซึ่งหลายคนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของกะโหลกก็อ้างว่าในบางเวลาที่จังหวะและแสงเหมาะๆ ก็เคยเห็นภาพจากกะโหลกแก้วมาแล้ว โดยเฉพาะกะโหลกแก้วของมิทเชลล์-เฮดจ์ส ที่ว่ากันว่ามีคนเห็นภาพยูเอฟโอสะท้อนออกมา
แล้วมีคนลือกันว่าเมื่อ ไหร่ก็ตามที่กะโหลกที่แท้จริงทั้ง 13 หัว ถูกค้นพบและนำมาไว้ด้วยกันก็จะเห็นภาพของอนาคต แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเรายังไม่สามารถพิสูจน์ความเชื่อนี้ เพราะยังมีเพียงไม่กี่หัวที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของแท้ เช่น แม็กซ์และชานารา ซึ่งเคยถูกวิเคราะห์จากนักวิทยาศาสตร์แล้วคิดว่าน่าจะมีอายุราวๆ 5,000 ปี และของมิทเชลล์เฮดจ์สที่เก่าแก่เหมือนกัน ในขณะที่กะโหลกที่เคยโด่งดังมากอีกหัวหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษนั้น เพิ่งจะมีการตรวจสอบซ้ำด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และผลปรากฏออกมาว่าน่าจะเป็นของที่ทำปลอมขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง ทำเอานักโบราณคดีที่ชอบไปนั่งจ้องตากับกะโหลกหัวนี้เซ็งไปตามๆ กัน
แต่ไม่ว่าอันไหนจะปลอม อันไหนจะจริง มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร และทำไม ก็ยังคงเป็นปริศนาที่นักโบราณคดีกุมขมับ เพราะแกะความลับไม่ออกมานานแสนนาน จนภาพยนตร์ดังระดับตำนานอย่าง อินเดียน่า โจนส์ ยอดนักโบราณคดี ที่เคยนำแฟนๆ ทั่วโลกไปผจญภัยค้นหาสมบัติในดินแดนลึกลับมาแล้วถึง 3 ภาค และในภาคล่าสุดนี้พ่อมดแห่งฮอลลีวูด สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็ปิ๊งไอเดีย นำเรื่องของกะโหลกแก้วมาสร้างเป็นตอนใหม่ คือ อินเดียน่า โจนส์ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4 : อาณาจักรกะโหลกแก้ว (Indiana Jones And The Kingdom Of The Crystal Skull) ปลุกกระแสความสนใจในปริศนากะโหลกแก้วให้กลับมาฮือฮากันอีกครั้งหนึ่งในรอบ 110 ปีนี้
ซึ่งนั่นก็คือการย้ำเตือนว่าแม้จะมีการกล่าวขวัญกันมามากมายนานแสนนาน และบ่อยครั้งสักเพียงใด กะโหลกแก้วยังคงมนต์ขลังแห่งความลี้ลับเหนือการพิสูจน์ที่ไม่มีวันเสื่อม คลายอยู่เช่นเดิม
ข้อมูลจาก
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/05/X7850579/X7850579.html